สำรวจปราสาทท่านโชกุน ในอิคคิวซัง : วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)
สำรวจปราสาทท่านโชกุน ในอิคคิวซัง อย่าเพิ่งงง ว่า หมายถึงอะไร เพราะที่นี่คือ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) หรือ วัดทอง ที่เกียวโต
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเมื่อไปเกียวโต คือ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) หรือวัดทอง ที่ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) มีนักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมศาลาทองกลางน้ำ หรือพลับพลาทองกลางน้ำ กันไม่น้อยไปกว่าที่ไปเที่ยววัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใส ตลอดทั้งปีที่ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) สามารถเดินทางมาชมได้ตลอด คุณอาจจะคิดว่า ก็แค่มาดูศาลาทอง ทำไมจะต้องมาดู Little Angel จึงอยากนำประสบการณ์ครั้งนี้มาบอกต่อให้เผื่อใครกำลังวางแผนว่าไปเกียวโตแล้วควรจะไปเที่ยวที่วัดนี้ไหม
การมาเที่ยวที่ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)ครั้งนี้ Little Angel มีความตั้งใจที่จะมาที่นี่มากๆ เพราะจากคำบอกเล่าทั้งในอินเตอร์เน็ตหรือการศึกษาหาข้อมูลจากที่ต่างๆ พบว่า ที่ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) แห่งนี้ เป็นต้นแบบปราสาทท่านโชกุน ที่มีอยู่ในการ์ตูนอิคคิวซัง การ์ตูนที่ดังทั่วบ้านทั่วเมืองไทย ดูกันมาตั้งแต่เด็ก จนปัจจุบันก็ยังมีการนำมาวนฉายหลายรอบ
การเดินทาง วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) จากสถานีรถไฟเกียวโต ก็นั่งรถประจำทางสาย 102 หรือ 204 ที่อยู่หน้าสถานีรถไฟเกียวโต แล้วมาลงที่ป้าย Kinkakuji-michi หลังจากลงรถแล้วเดินไปนิดเดียวก็จะเจอกับทางเข้าวัด
แต่หากมากับทัวร์ ก็สบายมาก เพราะทัวร์ส่วนใหญ่มักจะกำหนดให้ วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) เป็นหนึ่งสถานที่ในโปรแกรมเมื่อมาเที่ยวเกียวโต
ระหว่างทางเข้าวัด จะเป็นทางเดินที่มีต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง ใครมาช่วงเดียวกันกับที่ Little Angel มา คือช่วงเดือน พฤศจิกายน ที่นี่ใบไม้จะเปลี่ยนสีครบ 3 สี มองไปทางไหนก็สวยงาม เหมือนภาพเขียนสีน้ำ ที่บรรจงป้ายสี แดง เหลือง เขียว อย่างเข้ากัน
วัดนี้จะมีค่าเข้าชมอยู่ที่ 400 เยน เปิดให้เข้าชมทุกวัน
วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple) หรือ วัดพลับพลาทอง (Temple of the Golden Pavilion) เป็นวัดนิกายเซนที่มีชื่อเสียงมากในเกียวโต ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1994 พลับพลาทอง หรือศาลาทอง เป็นแบ่งออกเป็น 3 ชั้น อาคารทั้งหลังเป็นสีทองทั้งภายนอกและภายใน ผนังที่เห็นเป็นสีทองพลับพลาทองหรือศาลาทองหลังที่เห็นนี้ ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ เมื่อปี 1955 หลังจากโดนเผาทำลายไปในช่วงยุคสงครามโอนิน
ชั้นแรก เป็นสไตล์ Shinden ทำจากไม้ และผนังปูนสีขาว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป Shaka แต่ไม่เปิดให้เข้าไปชมด้านใน จะต้องมองผ่านจากด้านนอกที่มีสระน้ำอยู่ด้านหน้า
ชั้นสอง เป็นสไตล์ Bukke เป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปเจ้าแม่กวนอิม ในอดีตเป็นที่พักของซามูไร
ส่วนชั้นสุดท้าย ชั้นที่สาม เพิ่มความอลังการด้วยรูปปั้นนกฟีนิกซ์สีทองที่ตั้งอยู่ด้านบนสุดของหลังคา
เสน่ห์ของพลับพลาทอง ทำให้ต้องยืนมองพลับพลาสีทองงามสง่า ยิ่งเวลาที่พาดเงาสีทองลงไปบนผิวน้ำที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่เล็กอันเขียวชะอุ่ม ทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าช่างตรึงตราอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้ ถึงแม้จะดองรีวิวไว้นาน แต่ก็ยังไม่เคยลืมอารมณ์ที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้น และยิ่งทำให้อยากไปชมอีกในช่วงที่มีหิมะ เพราะคงจะสวยงามมากเช่นกัน ถ้าถึงวันนั้นจะมารีวิวให้ชมกันอีกนะคะ